วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทำไมต้องตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน



คููู่บ่าวสาวที่รักกันอย่างดูดดื่ม อาจตั้งคำถามว่า ทำไมต้องตรวจ ในเมื่อเรา 2 คนรู้จักประวัติกันมาดีมากพอ จำไว้ว่าการไปตรวจสุขภาพก่อนแต่งนั้น ไม่ได้มุ่งประเด็นไปที่การตรวจเลือดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้ระแวงว่าคู่ชีวิตจะเป็นเอดส์เลย เพราะผลที่เรามุ่งหวังจริงๆ ก็คือ การตรวจเพื่อเช็คสภาพความพร้อมและความสมบูรณ์ของร่างกาย เนื่องจากคนที่แต่งงานส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ระหว่าง 17-40 ปี คนวัยนี้มักจะมีสุขภาพค่อนข้างดี หรือถ้ามีโรคประจำตัวก็ยังไม่ปรากฏอาการให้เห็น เลยไม่ค่อยจะนึกถึงการตรวจสุขภาพมากนัก ทั้งที่ทุกวันนี้ โลกของเรามีโรคแปลกๆ เพิ่มมากขึ้น บางโรคเป็นโรคติดต่อร้ายแรง และยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ ถ้าเราละเลยขั้นตอนนี้ไป ก็อาจเป็นไปได้ว่า เราคือคนหนึ่งที่เป็นพาหะนำโรคไปสู่ชีวิตคู่โดยไม่รู้ตัว รวมไปถึงลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกด้วย
เหตุผลของการตรวจก่อนแต่ง
1. สกัดกั้นการส่งผ่านโรคสู่คนที่เรารัก
เพราะโอกาสในการส่งผ่านโรคสู่กันและกันนั้นมีมาก ถ้าพบว่าใครสักคนเป็นโรคที่จะสามารถติดเชื้อจากการมีสัมพันธ์ทางเพศ ก็ควรรักษาให้หายก่อน ไม่ว่าจะเป็นโรคเล็กน้อยหรือร้ายแรงเพียงใดก็ตาม โดยเฉพาะบางโรคซึ่งถ้าไม่ตรวจเลือดก็จะไม่รู้ เช่น ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี และเอดส์ การตรวจก่อนแต่งจึงเท่ากับช่วยลดความเสี่ยงและลดอัตราแทรกซ้อนความเจ็บไข้ได้ป่วยของคู่ชีวิตเรานั่นเอง
ตัวอย่าง เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบี สามารถส่งผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายกว่าเชื้อเอดส์ถึง 100เท่า เนื่องจากปริมาณเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในเลือดสูงกว่าไวรัสเอดส์มา เช่น ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นเอดส์เพียงครั้งเดียว แล้วไม่มีการป้องกัน จะมีโอกาสเป็น 0.3-0.5% แต่ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นไวรัสอักเสบบีเพียงครั้งเดียว แล้วไม่มีการป้องกันใดๆ โอกาสเป็นมีสูงถึง 10-20% ปัจจุบัน จำนวนคนไทยที่ได้รับเชื้อชนิดนี้มากกว่า 5% หรือประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งโรคนี้จะไม่แสดงอาการใดๆ นอกจากไปตรวจเลือดถึงจะรู้ ทำให้ผู้ป่วยพลาดโอกาสในการรักษา หรือมาตรวจอีกที ก็พบว่าอาการอยู่ในระยะ ที่ 2-3 แล้ว ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็ง หรือถึงขั้นเป็นมะเร็งตับในที่สุด นอกจากนี้ ความน่ากลัวของไวรัสตับอักเสบบี ก็คือ สามารถติดต่อผ่านทางเลือด ทำให้เกิดการส่งผ่านโรคจากแม่สู่ลูกน้อยได้มากถึง 70% ดังนั้นทารกที่คลอดจากมารดาที่มีเชื้อ จะได้รับการฉีดกระตุ้นภูมิต้านทานทันทีหลังคลอด
2. ตรวจความพร้อมของคุณแม่มือใหม่
ถามตัวเองให้แน่ใจเสียก่อนว่า พร้อมจะมีลูกหรือยัง  รวมทั้งตรวจสภาพความพร้อมของร่างกายด้วยว่า อำนวยต่อการมีลูกแค่ไหน ในกรณีที่ยังไม่พร้อม  ควรศึกษาเรื่องการคุมกำเนิดให้ดี เพื่อการเลือกใช้ให้เหมาะสมว่า ใครจะเป็นคนคุม ภรรยาหรือสามี คุมไปนานเท่าไรจึงจะพร้อมมีลูก ผลข้างเคียงเป็นอย่างไร และข้อห้ามทางสุขภาพของแต่ละคนด้วยว่าสามารถเลือกใช้วิธีนั้นๆได้หรือไม่
3. ความปลอดภัยของลูกน้อย
บางโรคสามารถส่งต่อ ถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปถึงลูกหลานได้ เช่น โรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย โรคเลือดออกไม่หยุด เป็นต้น บางครอบครัวมีการส่งผ่านโรคมาหลายรุ่นแล้ว ดังนั้นการไปตรวจสุขภาพร่างกาย จะได้ทราบว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใดที่ลูกจะเป็นโรคเหล่านั้น จะได้ตัดสินใจได้ถูกว่าควรมีลูกดีหรือไม่ ส่วนอีกโรคที่สำคัญมากสำหรับว่าที่คุณแม่ ก็คือ หัดเยอรมัน เพราะจะทำให้ลูกน้อยคลอดออกมาแล้วมีความผิดปรกติได้สูง
ดังนั้น ถ้าตรวจพบว่ายังไม่มีภูมิคุ้มกันโรคนี้ ก็ควรฉีดวัคซีนป้องกันทันที และควรจะคุมกำหนดต่อย่างน้อย 3 เดือนหลังจากฉีดวัคซีน จะได้สบายใจว่า ขณะตั้งครรภ์ แม่และลูกจะปลอดภัยจากโรคนี้
นอกจากนี้ ถ้าหากว่าเจ้าสาวอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป จงทำใจไว้ด้วยว่า ความเสี่ยงที่ลูกจะมีความผิดปรกติทางโครโมโซมแบบ Trisomy 21 หรือที่เรียกว่า Down's Syndrome จะสูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ทางที่ดีจึงควรรีบมีลูกขณะที่อายุยังไม่มากถ้าร่างการพร้อม  และควรตรวจโครโมโซมของลูกขณะอยู่ในครรภ์ด้วย เพื่อจะได้ทราบสภาวะของทารกว่าปรกติดีหรือไม่
4. เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
ผู้หญิงที่มีโรคประจำตัว จะมีอัตราความเสี่ยงของโรคมากขึ้นถ้ามีการตั้งครรภ์ เช่น โรคหัวใจ  โรคไตวาย โรคธัยรอยด์  เป็นต้น ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าเรามีสภาวะเหมาะสมพอที่จะตั้งครรภ์ได้หรือไม่
ทราบอย่างนี้แล้วก้อจุงมือกันไปตรวจก่อนแต่งกันดีกว่านะครับ

1 ความคิดเห็น: